: 0-2811-1741-5
: racer_official@racerlighting.com
: Monday - Friday : 08.00น. - 17.00น.

5 วิธีเลือกเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างไร ให้คุ้มค่า

การเลือก "เครื่องใช้ไฟฟ้า" นอกจากรสนิยมแล้ว ยังต้องยังต้องคำนึงถึงเรื่องใดบ้าง 1. ราคาของเครื่องใช้ไฟฟ้า ถือเป็นปัจจัยต้น ๆ ที่คนส่วนใหญ่ใช้เลือกซื้อ การพิจารณาราคาควบคู่ไปกับคุณภาพ เปรียบเทียบหลาย ๆ ยี่ห้อ และเลือกยี่ห้อที่ราคาถูกในคุณภาพสินค้าที่เท่าๆกัน2. คุณภาพดีก็หมายถึงความปลอดภัย เบื้องต้นด้วยสายต ว่ามีตำหนิ ชำรุดหรือไม่ มีการออกแบบที่ดี ได้มาตรฐาน มอก.ต่างๆ เพื่อเป็นการการันตีคุณภาพที่ดีและมีความปลอดภัย3. จำนวนวัตต์ บนตัวสินค้า จะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถคำนวณค่าไฟฟ้าที่เกิดขึ้นภายหลังจากการใช้งานได้4. ขนาดของเครื่องใช้ไฟฟ้า เลือกเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีขนาดเหมาะสมกับพื้นที่การใช้งานก่อนตัดสินใจเลือกซื้อ ควรวัดขนาดพื้นที่ที่ต้องการวาง/ติดตั้ง เพื่อความพอดี ลงตัว ไม่มีปัญหาภายหลัง5. ค่าบำรุงรักษา เลือกซื้อจากร้านที่มีการรับประกัน ศึกษาข้อมูลสินค้า รีวิวจากผู้ใช้งานจริง ค่าใช้จ่าย หากมีการซ่อมบำรุง...


01 ราศีมังกร - พระแก้วมรกต

ราศีมังกร - พระแก้วมรกตเริ่มต้นที่ชาวราศีมังกร สำหรับพระประจำราศีมังกรนั้นคือ พระแก้วมรกต นั่นเองค่ะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองที่ทุกคนรู้จักกันดีอยู่แล้วโดยภาพรวมดวงของชาวราศีมังกรปีนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีค่ะมีตำแหน่งงานที่ดีรออยู่ ใครที่อยากเสริมดวงเรื่องการงานให้ปังขึ้นไปอีกบอกเลยว่าต้องมากราบไหว้ขอพรจากพระแก้วมรกตค่ะเพราะจะช่วยให้เรื่องกิจการการงานให้รุ่งเรืองและพบแต่ความเป็นสิริมงคลอีกด้วย ไม่เจ็บไม่จน รับทรัพย์ตลอดทั้งปีเลยค่ะประวัติพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือ พระแก้วมรกต เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของประเทศไทยปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (หรือ วัดพระแก้ว) ในพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพมหานครพระแก้วมรกตเป็นพระพุทธรูปที่แกะสลักจากหยกอ่อนเนไฟรต์สีเขียวดังมรกตเป็นพระพุทธรูปสกุลศิลปะก่อนเชียงแสนถึงศิลปะเชียงแสน หลักฐานที่ตรงกันระบุว่าพบครั้งแรกประดิษฐานอยู่ในเจดีย์วัดป่าญะ ตำบลเวียง เมืองเชียงราย(ปัจจุบันคือวัดพระแก้ว จังหวัดเชียงราย อำเภอเมืองเชียงราย)ในปี พ.ศ. 1977 (หรือ ค.ศ. 1434) ฟ้าได้ผ่าลงองค์พระเจดีย์จนพังทลายลง จึงพบพระพุทธรูปพอกปูนลงรักปิดทองจึงได้นำไปไว้ในวิหาร ต่อมาปูนบริเวณพระนาสิก (จมูก) เกิดกระเทาะออก เห็นเป็นเนื้อมรกตจึงกระเทาะปูนออกทั้งองค์ เห็นเป็นเนื้อหยกสีมรกตทั้งองค์หลังจากนั้น พระเจ้าสามฝั่งแกนแห่งเชียงใหม่ทราบข่าวการค้นพบพระพุทธรูปนี้จึงเชิญมาประดิษฐานที่เชียงใหม่ แต่ช้างทรงพระแก้วมรกตกลับไม่เดินทางไปยังเชียงใหม่แต่ไปทางลำปางหากช้างนั้นมีพระแก้วมรกตอยู่บนหลังช้าง เชียงใหม่เห็นว่าลำปางก็อยู่ในอาณาจักรล้านนาจึงนำไปไว้ที่วัดพระแก้วดอนเต้า ถึงสมัยพระเจ้าติโลกราช ได้เชิญพระแก้วมรกตมายังเชียงใหม่สร้างปราสาทประดิษฐานไว้แต่ถูกฟ้าผ่าหลายครั้ง ครั้นเมื่อพระเจ้าไชยเชษฐาแห่งล้านช้างซึ่งเป็นญาติกับราชวงศ์ล้านนามาครองเมืองเชียงใหม่ เมื่อพระเจ้าไชยเชษฐาเสด็จกลับหลวงพระบางก็เชิญพระแก้วมรกตไปด้วยพร้อมกับพระพุทธสิหิงค์ ทางเชียงใหม่ขอคืนก็ได้แต่พระพุทธสิหิงค์เมื่อล้านช้างย้ายเมืองหลวงจากหลวงพระบางมาเวียงจันทน์ก็เชิญพระแก้วมรกตลงมาด้วยต่อมาสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงสถาปนากรุงธนบุรีขึ้นเป็นเมืองหลวงพระองค์ได้ทรงอัญเชิญพระแก้วมรกต และพระบาง มาจากอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ (ลาว)ในครั้งนั้นประดิษฐานไว้ที่วัดอรุณราชวราราม ต่อมาเมื่อสิ้นรัชสมัยของพระองค์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงอัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรลงบุษบกในเรือพระที่นั่ง เสด็จข้ามฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา มาประดิษฐานยังวัดพระศรีรัตนศาสดารามจนถึงปัจจุบัน ส่วนพระบางได้คืนให้แก่ หลวงพระบางเครดิต.wongnaith.wikipedia...


02 ราศีกุมภ์ - หลวงพ่อโสธร

02 ราศีกุมภ์ - หลวงพ่อโสธรต่อกันที่พระประจำชาวราศีกุมภ์นั่นก็คือ หลวงพ่อโสธร นั่นเองค่ะเชื่อว่าหลายคนต้องรู้จักและศรัทธาในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโสธรอย่างแน่นอนไม่ว่าจะขอพรเรื่องอะไร ส่วนใหญ่ล้วนแต่จะประสบแต่ความสำเร็จสำหรับดวงชาวราศีกุมภ์นั้นภาพรวมในปีนี้ถือว่าดีมากกกก! ทั้งการงานการเงิน และความรักดีขึ้นเป็นลำดับเลย หากชาวราศีกุมภ์อยากเสริมดวงให้ปังมากขึ้นแนะนำว่าต้องมากราบไหว้หลวงพ่อโสธรเลยค่ะ ก็จะช่วยขจัดอุปสรรคพบแต่ความราบรื่นตลอดทั้งปีหลวงพ่อโสธร หรือ หลวงพ่อพระพุทธโสธร เป็นพระพุทธรูปสำคัญของจังหวัดฉะเชิงเทราประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถวัดโสธรวรารามวรวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทราข้อมูลจากการตรวจสอบภายในหลวงพ่อโสธรโดยกรมศิลปากร พบว่า หลวงพ่อโสธรประกอบขึ้นจากหินทรายแปดชิ้นแล้วพอกปูนทับเป็นองค์ หลวงพ่อโสธร เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ คือมีพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิราบพระชงฆ์ขวาทับพระชงฆ์ซ้าย พระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้ายวางซ้อนกันอยู่บนพระเพลามีส่วนสูง 6 ฟุต 7 นิ้ว พระเพลากว้าง 5 ฟุต 6 นิ้วตำนานหลวงพ่อโสธรนั้น ตำนานไม่ได้กล่าวไว้ว่าใครเป็นผู้สร้างหรือสร้างเมื่อใดทราบตามที่เล่าต่อๆ กันมาแต่เพียงว่า ในจังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือของไทยมีพระภิกษุสามองค์พี่น้อง เรียนพระธรรมวินัยแตกฉานแล้วก็จำแลงกายเป็นพระพุทธรูปเมื่อมาถึงบริเวณหนึ่งก็ปรากฏองค์ขึ้น ชาวบ้านบริเวณนั้นพบเข้าก็พากันเอาเชือกมนิลามาฉุดขึ้นแต่ก็เอาขึ้นมาไม่ได้เพราะเชือกขาด ก่อนที่พระทั้งสามองค์จะจมหายไปบริเวณที่พระทั้งสามองค์ลอยทวนน้ำหนีนั้นเรียกว่า สามพระทวน ต่อมาได้เพี้ยนและเรียกว่า สัมปทวน อำเภอเมืองฉะเชิงเทราจนทุกวันนี้ต่อมาได้มาผุดขึ้นที่คลองคุ้งให้ชาวบ้านแถวนั้นเห็นอีก ชาวบ้านก็พยายามฉุดขึ้นฝั่งแต่ไม่สำเร็จอีกสถานที่นั้นเรียกว่า บางพระ มาจนทุกวันนี้ แต่นั้นมาพระพุทธรูปทั้งสามองค์ก็ได้สำแดงอภินิหารในคลองเล็กๆตรงข้ามกองพันทหารช่างที่ 2 ฉะเชิงเทรา บริเวณนั้นเรียกว่า แหลมลอยวน คลองนั้นได้นามว่า คลองสองพี่น้องภายหลังก็เงียบไป จวบจนองค์หนึ่งได้ลอยไปจนถึงแม่น้ำแม่กลอง และไปปรากฏขึ้นที่สมุทรสงครามชาวประมงได้พร้อมใจกันอาราธนาขึ้นไปประดิษฐานไว้ที่วัดบ้านแหลมหรือวัดเพชรสมุทรวรวิหารเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์เป็นที่นับถือของพุทธศาสนิกชนชาวสมุทรสงคราม เรียกกันว่า หลวงพ่อบ้านแหลม มาจนทุกวันนี้องค์ที่สองได้ลอยวนไปวนมาและมาผุดขึ้นหน้า วัดหงษ์ เล่ากันว่า ที่วัดนี้เดิมมีเสาใหญ่มีหงษ์ทำด้วยทองเหลืองอยู่บนยอดเสานั้น จึงได้ชื่อว่าวัดหงษ์ ต่อมาหงษ์ที่ยอดเสาหักตกลงมาเสียชำรุดทางวัดจึงเอาธงไปติดไว้ที่ยอดเสาแทนรูปหงษ์ จึงได้ชื่อว่าวัดเสาธง แล้วต่อมาก็เกิดมีพายุพัดเสานี้หักลงส่วนหนึ่งจึงได้ชื่อว่าวัดเสาทอน และต่อมาชื่อนี้ได้กลายไปเป็นวัดโสธรประชาชนพลเมืองจำนวนมากได้พากันหลั่งไหลมาอาราธนาฉุดขึ้นฝั่งแต่ก็ไม่สำเร็จขณะนั้นมีอาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษผู้รู้คนหนึ่งสำเร็จไสยศาสตร์หรือเทพไสยรู้หลักและวิธีอาราธนาจึงได้ทำพิธีปลูกศาลเพียงตาบวงสรวง กล่าวคำอัญเชิญชุมนุมเทวดาอาราธนา และได้ใช้สายสิญจน์คล้องที่พระหัตถ์ของพระพุทธรูปก่อนจะค่อยฉุดลากขึ้นมาบนฝั่ง พระพุทธรูปจึงเสด็จขึ้นมาบนฝั่งเป็นที่ปิติยินดีเป็นอย่างยิ่งของชาวเมืองจึงได้พร้อมใจกันอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่ในพระวิหารวัดโสธร และเรียกนามว่า พระพุทธโสธร หรือ หลวงพ่อโสธร ตั้งแต่นั้นมาส่วนองค์สุดท้ายได้ลอยไปอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยาประชาชนละแวกนั้นก็หลั่งไหลมาอาราธนาขึ้นฝั่งฉุดขึ้นเป็นการใหญ่แต่ก็ฉุดขึ้นไม่ได้เล่ากันว่ามีประชาชนพากันมาฉุดนับได้ถึงสามแสนคน จึงเรียกสถานที่นั้นว่า สามแสน ภายหลังจึงเพี้ยนมาเป็น สามเสน และเรียกกันอยู่ทุกวันนี้จากนั้นพระพุทธรูปองค์นี้ก็ลอยไปผุดขึ้นที่คลองสำโรง จังหวัดสมุทรปราการ ประชาชนจึงได้ได้อาราธนาขึ้นไปประดิษฐานไว้ที่วัดพลับพลาชัยชนะสงครามหรือวัดบางพลีใหญ่ในตราบจนทุกวันนี้ เป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์มากอีกรูปหนึ่งของเมืองไทย คือ หลวงพ่อโต วัดบางพลีใหญ่ในบางตำนานได้เล่าว่ามีพระพุทธรูปพี่น้องอยู่ห้าองค์ อีกสององค์คือ หลวงพ่อไร่ขิง วัดไร่ขิง จังหวัดนครปฐมและ หลวงพ่อ(ทอง)เขาตะเครา วัดเขาตะเครา จังหวัดเพชรบุรีและบางพื้นที่เล่าเป็นพระพุทธรูปพี่น้องหกองค์ โดยเพิ่ม หลวงปู่หิน วัดอ่างศิลา จังหวัดชลบุรี ด้วยสนใจสินค้า :Racer (racerlighting.com)เครดิต.wongnaith.wikipedia...


03 ราศีมีน - หลวงพ่อโต (วัดพนัญเชิง)

03 ราศีมีน - หลวงพ่อโต (วัดพนัญเชิง)สำหรับชาวราศีมีนนั้น ภาพรวมในปีนี้อาจจะต้องมีระวังเรื่องการงานที่ติดขัดเรื่องการสื่อสารอยู่บ้าง รวมไปถึงเรื่องสุขภาพที่ต้องดูแลแต่โดยรวมแล้วไม่แน่ค่ะ ชาวราศีมีนที่อยากไหว้พระเสริมความปังแนะนำไหว้พระประจำราศีคือ หลวงพ่อโต (วัดพนัญเชิง) เลยค่ะกราบไหว้ขอพรก็จะช่วยเสริมดวงเรื่องการงานให้ประสบความสำเร็จและช่วยเสริมสุขภาพให้หายเจ็บป่วยนอกจากได้บุญแล้วยังช่วยให้สบายใจขึ้นอีกด้วยจ้าสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) (นามเดิม: โต) หรือนามที่นิยมเรียก "สมเด็จโต" "หลวงปู่โต"หรือ "สมเด็จวัดระฆัง" เป็นพระภิกษุมหานิกาย เป็นพระมหาเถระรูปสำคัญที่ได้รับความนิยมนับถืออย่างมากในประเทศไทย ท่านเคยดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหารในสมัยรัชกาลที่ 4-5สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) นับเป็นพระเกจิเถราจารย์ผู้มีปฏิปทาจริยาวัตรน่าเลื่อมใสเป็นที่เคารพนับถือทั่วไปมาตั้งแต่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ตั้งแต่พระมหากษัตริย์จนถึงสามัญชนและนอกจากจริยาวัตรด้านความสมถะอันโดดเด่นของท่านแล้ว ท่านยังทรงคุณทางด้านวิชชาคาถาอาคมเมตตามหานิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุมงคล "พระสมเด็จ" ที่ท่านได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นพุทธบูชาได้ถูกจัดเข้าในพระเครื่องเบญจภาคี หรือสุดยอดของพระเครื่องวัตถุมงคล 1 ใน 5 ของประเทศไทยและมีราคาซื้อขายในปัจจุบันต่อองค์เป็นราคานับล้านบาทด้วยปฏิปทาจริยาวัตรและคุณวิเศษอัศจรรย์ของท่าน ทำให้พุทธศาสนิกชนชาวไทยเคารพนับถือว่าท่านเป็นอมตะเถราจารย์รูปหนึ่งของเมืองไทย และมีผู้นับถือจำนวนมากในปัจจุบันสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)ได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อ พ.ศ. 2343ต่อมาปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดและเมตตาสามเณรโตเป็นอย่างยิ่ง ครั้นอายุครบอุปสมบทปี พ.ศ. 2350จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนาคหลวง อุปสมบท ณ วัดพระศรีรัตนศาสดารามมีสมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) เป็นพระอุปัชฌาย์ มีฉายานามในพุทธศาสนาว่า "พฺรหฺมรํสี"เนื่องจากเป็นเปรียญธรรมจึงเรียกว่า "พระมหาโต" มานับแต่นั้น ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้โปรดเกล้าฯ ให้รับพระมหาโตไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ท่านมีอุปนิสัยทำสิ่งใดตามความพอใจของตน ไม่ถือเอาความนิยมขอผู้อื่นเป็นหลักและไม่ปรารถนายศศักดิ์หรือลาภสักการะใด ๆ แม้ได้ศึกษาพระธรรมวินัยจนแตกฉานก็ไม่ยอมเข้าสอบเปรียญธรรม ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงตั้งท่านเป็นพระราชาคณะแต่ท่านไม่ยอมรับ จึงคงเป็นพระมหาโตมาตลอดรัชกาลต่อมากล่าวกันว่า พระมหาโตได้ออกธุดงค์ไปตามสถานที่ต่าง ๆ และได้สร้างปูชนียสถานในที่ต่าง ๆ กันเช่น สร้างพระพุทธไสยาศน์ไว้ที่วัดสตือ ตำบลท่าหลวง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยาสร้างพระพุทธรูปหลวงพ่อโต วัดไชโย จังหวัดอ่างทอง เป็นต้น ซึ่งปูชนียสถานทุกแห่งที่ท่านสร้างจะมีขนาดใหญ่โตสมกับชื่อของท่านอยู่เสมอ การจะสร้างปูชนียสถานขนาดใหญ่เช่นนี้ล้วนแต่ต้องใช้ทุนทรัพย์และแรงงานจำนวนมากในการก่อสร้างจึงจะทำได้สำเร็จ สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเครื่องหมายแสดงถึงความศรัทธาและบารมีของท่านซึ่งเป็นที่เคารพเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนในย่านที่ท่านได้ธุดงค์ผ่านไปอย่างชัดเจนหลวงพ่อโต (พระศรีอริยเมตไตรย) วัดอินทรวิหาร กรุงเทพปูชนียสถานแห่งสุดท้ายที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ได้สร้างไว้ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์โปรดปรานพระมหาโตเป็นอย่างยิ่งในปี พ.ศ. 2395 พระองค์จึงได้พระราชทานสมณศักดิ์พระมหาโตเป็นครั้งแรกเป็นพระราชาคณะที่ "พระธรรมกิติ" และดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตารามขณะนั้นท่านอายุ 65 ปี โดยปกติแล้วพระมหาโตมักพยายามหลีกเลี่ยงการรับพระราชทานสมณศักดิ์แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ทำให้ท่านต้องยอมรับพระราชทานสมณศักดิ์ในที่สุด อีก 2 ปีต่อมา (พ.ศ. 2397)ท่านจึงได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่ที่ "พระเทพกระวี" หลังจากนั้นอีก 10 ปี (พ.ศ. 2407)จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมณศักดิ์ขึ้นสมเด็จพระราชาคณะที่ "สมเด็จพระพุฒาจารย์" สมณศักดิ์ดังกล่าวนี้นับเป็นสมณศักดิ์ชั้นสูงสุดและเป็นชั้นสุดท้ายที่ท่านได้รับตราบจนกระทั่งถึงวันมรณภาพคนทั่วไปนิยมเรียกท่านว่า "สมเด็จโต" หรือ "สมเด็จวัดระฆัง" ส่วนคนในยุคร่วมสมัยกับท่านเรียกท่านว่า "ขรัวโต"สนใจสินค้า : Racer (racerlighting.com)เครดิต.wongnaith.wikipedia...


04 ราศีเมษ - พระอัฏฐารส

04 ราศีเมษ - พระอัฏฐารสชาวราศีเมษช่วงต้นปีอาจจะต้องเจอปัญหาหนักแต่ถ้าผ่านไปได้ก็จะดีขึ้นค่ะ แถมมีโอกาสประสบความสำเร็จกับอะไรใหม่ ๆในเรื่องการเงินยังหมุนได้คล่องตัว พระเสริมดวงประจำราศีคือพระอัฏฐารสเชื่อว่าจะช่วยเสริมดวงเพิ่มความเป็นสิริมงคลให้แก่ชาวราศีเมษช่วยให้ชีวิตสงบสุข ไม่พบเจออุปสรรคบอกเลยว่ากราบไหว้บูชาแล้วจะพบแต่สิ่งดี ๆ เข้ามาค่ะพระอัฏฐารส เป็นพระพุทธปฏิมาประธานในพระวิหารหลวง วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จังหวัดเชียงใหม่พระอัฏฐารส แปลว่า พระสิบแปด หมายถึงพุทธธรรม 18 ประการ อันเป็นพระคุณสมบัติเฉพาะพระองค์ไม่ได้หมายความว่าพระพุทธรูป 18 ศอก ที่จริงแล้วองค์พระพุทธปฏิมาอัฏฐารสสูง 16 ศอก 23 ซ.ม.หรือเท่ากับ 8.23 เมตร แต่ที่ตั้งชื่อเช่นนั้นก็เพื่อเป็นอุบายธรรมสื่อนำไปสู่ความเข้าใจในพุทธคุณอันประเสริฐของพระพุทธองค์ ผู้ทรงเป็นศาสดาของมนุษย์และเทพเจ้าทั้งหลายดังพระบาลีในอาฏานาฏิยปริตรว่า : “อุเปตา พุทฺธธมฺเมหิ อฏฺฐารสหิ นายกา …พระพุทธเจ้าทั้งหลายผู้เป็นนายกคือผู้นำ ทรงประกอบด้วยพุทธธรรม 18 ประการ”ผู้สร้างพระอัฏฐารสคือพระนางติโลกจุฑาเทวี ลักษณะเป็นพระพุทธรูปยืนที่มีลักษณะงดงามมากดังที่ น. ณ ปากน้ำ (ประยูร อุลุชาฏะ) ปราชญ์ผู้เชี่ยวชาญงานศิลปกรรมได้กล่าวถึงว่า“พระพุทธรูปยืนปางประทานอภัย ศิลปะเชียงใหม่ตอนต้นที่ได้รับอิทธิพลต้นแบบจากศิลปะปาละ (อินเดีย)หล่อด้วยทองสำริดสูงใหญ่ ปางห้ามญาติ มีพระพุทธลักษณะสง่างามที่สุดในอาณาจักรล้านนาโดยเฉพาะส่วนพระพักตร์มีลักษณะอ่อนโยนงดงามยิ่งนัก เป็นศิลปกรรมร่วมสมัยกับพระพุทธรูปแบบเชียงแสนหรือพระสิงห์ซึ่งได้วิวัฒนาการงานศิลป์มาจากปาละด้วยเช่นกัน”พระนางติโลกจุฑาเทวี เป็นพระมเหสีของพระเจ้าแสนเมืองมา เมื่อครั้งที่พระสวามีสร้างพระเจดีย์หลวงเมื่อ พ.ศ.1934 เพื่ออุทิศพระราชกุศลแด่ดวงวิญญาณของพระเจ้ากือนา พระราชบิดาแต่ยังสร้างไม่เสร็จ พระสวามีก็เสด็จสวรรคตเสียก่อนพระนางติโลกจุฑาเทวี จึงสร้างต่อโดยทรงรับเป็นแม่กองบัญชาการก่อสร้างพระเจดีย์ด้วยพระองค์เองใช้เวลาในการสร้างนาน 5 ปี จึงแล้วเสร็จต่อมาในเดือน 10 ขึ้น 15 ค่ำ พ.ศ.1954 พระนางได้ทรงกระทำพิธีปกยอดฉัตรเจดีย์ด้วยทองคำหนัก 8,902และประดับรัตนมณี 3 ดวง ไว้บนยอดพระเจดีย์นั้นหลังจากนั้น พระนางได้ทรงสร้างพระวิหารหลวงขึ้นหลังหนึ่ง ทางทิศตะวันออกของพระเจดีย์พร้อมทั้งให้หล่อพระประธาน คือ พระอัฏฐารส และพระอัครสาวก พระโมคคัลลานะ และพระสารีบุตรประดิษฐานไว้ในวิหารหลวงจากนั้นจึงทำการฉลองสมโภชพระธาตุเจดีย์หลวง พระวิหาร พระอัฏฐารสวัดเจดีย์หลวงในคราวเดียวกันและยังหล่อพระพุทธรูปปางอื่นๆ ขนาดต่างๆ อีกจำนวนมากกล่าวถึงเฉพาะการหล่อพระในครั้งนั้น มีการตั้งโรงหล่อเผาเบ้าหลอมทองในบริเวณที่ตั้งวัดพันเตาปัจจุบันเพราะต้องเททองพระพุทธรูปเป็นร้อยเป็นพันเบ้า จึงเป็นที่มาของวัดพันเตาและเมื่อครั้งหล่อพระพุทธรูปอัฏฐารส พระเถระชื่อว่า “นราจาริยะ” ผู้เป็นเจ้าอาวาสวัดโชติการาม (วัดเจดีย์หลวง)ใคร่ลองบุญญาภินิหารของท่าน ได้กระทำสัตยาธิษฐาน แล้วอุ้มเบ้าทองอันร้อนด้วยมือยกขึ้นตั้งเหนือศีรษะนำไปหล่อเบ้านั้นก็ไม่ทำให้ร้อนไหม้ คนทั้งหลายเห็นแปลกดังนั้นก็เกิดอัศจรรย์พากันแซ่ซ้องสาธุการกันทั่วทั้งเมืองพระอัฏฐารสจึงนับว่าเป็นพระพุทธรูปสำคัญองค์หนึ่งของเมืองเชียงใหม่สนใจสินค้า :Racer (racerlighting.com)เครดิต.wongnaimatichonweekly.com...


05 ราศีพฤษภ - หลวงพ่อพระใส

05 ราศีพฤษภ - หลวงพ่อพระใสถึงเวลาลืมตาอ้าปากของชาวราศีพฤษภแล้วค่ะใครที่เกิดราศีนี้ราหูจะให้ผลแล้ว ทั้งเรื่องโชคลาภความมั่นคงถือว่าเป็นปีที่ดีขึ้นของชาวราศีพฤษภเลยค่ะส่วนใครที่อยากไหว้เสริมดวงเพิ่มความปังควรไหว้พระประจำราศีนั่นคือ หลวงพ่อพระใสที่ว่ากันว่าขอพรสิ่งใดก็ล้วนแต่สำเร็จ และพบแต่ความก้าวหน้าในชีวิตพระใสเป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิราบปางมารวิชัยหล่อด้วยทองสีสุก มีพระรูปลักษณ์งดงามมากขนาดหน้าตัก กว้าง 2 คืบ 8 นิ้ว ส่วนสูงจากพระสงฆ์เบื้องล่างถึงยอดพระเกศ 4 คืบ 1 นิ้ว ของชางไม้ปัจจุบันได้ประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถวัดโพธิ์ชัย(พระอารามหลวง)ตามประวัติกล่าวไว้ว่า พระธิดาสามพี่น้องของกษัตริย์ล้านช้าง (บางท่านเชื่อว่า เป็นธิดาของพระไชยเชษฐาธิราช)ได้ร่วมกันสร้างพระพุทธรูปประจำพระองค์ขึ้น 3 องค์ เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาแล้วขนานนามพระพุทธรูปตามพระนามว่า พระสุก พระเสริม และพระใส มีขนาดลดกันตามลำดับพระสุกนั้นเป็นพระประจำพี่ผู้ใหญ่ พระเสริมประจำคนกลาง ส่วนพระใสประจำคนสุดท้องตามประวัติการสร้างเล่าว่า มีพิธีการทางบ้านและทางวัดช่วยกันใหญ่โต มีคนสูบเตาหลอมทองอยู่ไม่ขาดระยะนำเป็นเวลา 7 วันแล้วทองก็ยังไม่ละลาย ถึงวันที่ 8 เวลาเพล เหลือหลวงตากับสามเณรน้อยรูปหนึ่งสูบเตาอยู่ได้ปรากฏชีปะขาว ตนหนึ่งมาขอช่วยทำ หลวงตากับเณรน้อยจึงไปฉันเพลญาติโยมที่มาส่งเพลจะลงไปช่วยแต่มองไปเห็นชีปะขาวจำนวนมากช่วยกันสูบเตาอยู่แต่เมื่อถามพระ พระมองลงไปก็เห็นเป็นชีปะขาวตนเดียว พอฉันเพลเสร็จคนทั้งหมดจึงลงมาดูก็เกิดความอัศจรรย์ใจยิ่ง เหตุเพราะได้เห็นทองทั้งหมดถูกเทลงในเบ้าทั้ง 3 เบ้า แล้ว และไม่เห็นชีปะขาวแล้วหลังสร้างเสร็จพระสุก พระเสริม และพระใส ได้ประดิษฐานไว้ ณ เมืองหลวงอาณาจักรล้านช้าง มาช้านานคราใดที่เกิดสงครามบ้านเมืองไม่สงบสุข ชาวเมืองก็จะนำพระพุทธรูปทั้งสามไปซ่อนไว้ที่ภูเขาควายหากเหตุการสงบแล้วจึงนำกลับมาไว้ดังเดิม ส่วนหลักฐานที่ว่าประดิษฐานอยู่ ณ เมืองเวียงจันทน์ตั้งแต่เมื่อใดนั้นยังไม่มีปรากฏแน่ชัดทราบเพียงว่าในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์ขึ้นที่เมืองเวียงจันทน์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ทำลายเมืองเวียงจันทน์เสียสิ้น จึงให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิ์พลเสพย์ได้เป็นจอมทัพยกพลมาปราบเมื่อเมืองเวียงจันทน์สงบแล้ว จึงได้อัญเชิญพระสุก พระเสริม และพระใสมาที่จังหวัดหนองคายพระเสริม วัดปทุมวนาราม กรุงเทพมหานคร อัญเชิญมาจากกรุงเวียงจันทน์ครั้นล่องแพต่อมาจนถึงแม่น้ำโขง ตรงปากงึม เฉียงกับบ้านหนองกุ้ง อ.โพนพิสัย จ.หนองคายได้บังเกิดฝนฟ้าคะนอง พระสุกได้แหกแพจมลงในน้ำ ท้องฟ้าที่วิปริตต่างๆ จึงหายไป บริเวณนั้นจึงได้ชื่อ “เวินสุก”ตั้งแต่นั้นมา ด้วยเหตุข้างต้น การอัญเชิญครั้งนี้จึงเหลือแต่พระเสริม และพระใสมาถึงหนองคายสำหรับพระใสนั้นได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ ณ วัดโพธิ์ชัย ส่วนพระเสริมได้ อัญเชิญไปไว้ยังวัดหอก่อง หรือวัดประดิษฐ์ธรรมคุณและพระสุก ได้สร้างองค์จำลองไว้ที่วัดศรีคุณเมือง ณ ปัจจุบันต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ขุนวรธานีและเจ้าเหม็น (ข้าหลวง)อัญเชิญพระเสริมจากวัดโพธิ์ชัยลงไปยังกรุงเทพฯ ขุนวรธานีจะอัญเชิญพระใสไปพร้อมกับพระเสริมด้วยแต่เกิดปาฏิหาริย์ โดยพราหมณ์ผู้อัญเชิญนั้นไม่สามารถขับเกวียนนำพระใสไปได้แม้จะใช้กำลังคนหรืออ้อนวอนอย่างไรก็ตาม จนในที่สุดเกวียนได้หักลง เมื่อหาเกวียนใหม่มาแทนก็ไม่สามารถเคลื่อนไปได้อีกจึงปรึกษาตกลงกันว่าให้อัญเชิญพระใสมาไว้ที่วัดโพธิ์ชัยแทนพระเสริมซึ่งอัญเชิญไปกรุงเทพฯ เมื่ออธิษฐานดังกล่าวพอเข้าหามเพียงไม่กี่คนก็อัญเชิญพระใสมาได้สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงลงความเห็นเกี่ยวกับพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์นี้ว่าเป็นพระพุทธรูปล้านช้างที่งดงามยิ่งกว่าพระพุทธรูปองค์อื่น ๆ และทรงสันนิษฐานเรื่องการสร้างเป็น 2 ประการ คืออาจจะเป็นพระพุทธรูปที่สร้างจากเมืองหนึ่งเมืองใดทางตะวันออกของอาณาจักรล้านช้างและต่อมาตกอยู่ในเขตล้านช้าง หรืออาจสร้างขึ้นในเขตล้านช้างโดยฝีมือช่างลาวพุงขาวเป็นพระพุทธรูปที่ชาวจังหวัดหนองคายนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์มากและเป็น ที่เคารพสักการะอย่างยิ่งสนใจสินค้า : Racer (racerlighting.com)เครดิต.wongnaiwikipedia...